หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานเป็นเทคโนโลยีที่เก่าแก่กว่าและทำงานโดยการตรวจจับแรงกด มักจะประกอบด้วยสองชั้นที่เคลือบด้วยวัสดุโปร่งใสที่นำไฟฟ้าได้ และมีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างกัน เมื่อมีการกดลงบนหน้าจอ (ด้วยนิ้ว ปากกา หรือวัตถุอื่นๆ) สองชั้นนี้จะสัมผัสกันและทำให้วงจรไฟฟ้าครบวงจร ตัวควบคุมหน้าจอสัมผัสจะคำนวณตำแหน่งจากการเปลี่ยนแปลงของค่าความต้านทาน
แม้ว่าในปัจจุบันหน้าจอแบบ Capacitive (ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตส่วนใหญ่) จะได้รับความนิยมมากกว่า แต่หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มการใช้งานเฉพาะทางที่ต้องการคุณสมบัติที่โดดเด่นของเทคโนโลยีนี้
หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานคืออินเทอร์เฟซการแสดงผลชนิดหนึ่งที่ตอบสนองต่อการสัมผัสโดยการตรวจจับแรงกดที่กระทำต่อหน้าจอ หน้าจอสัมผัสชนิดนี้ประกอบด้วยหลายชั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีสองชั้นที่บางและนำไฟฟ้าได้ คั่นด้วยช่องว่างแคบๆ เมื่อกดหน้าจอ ชั้นทั้งสองจะสัมผัสกัน ณ จุดสัมผัส และระบบจะตรวจจับพิกัดของตำแหน่งนั้น
เทคโนโลยีสมัยใหม่ของหน้าจอสัมผัสแบบต้านทาน:
แม้ว่าหลักการพื้นฐานจะยังคงเดิม แต่ก็มีการพัฒนาเพื่อให้หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนขึ้น:
ความทนทานและความเชื่อถือได้: หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานยังคงเป็นตัวเลือกที่ทนทานและเชื่อถือได้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, อุปกรณ์ทางการแพทย์, หรือระบบ ณ จุดขาย (POS) เนื่องจากสามารถทนทานต่อฝุ่นละออง ความชื้น และสารเคมีได้ดีกว่าหน้าจอ Capacitive ในบางกรณี
การใช้งานกับถุงมือหรืออุปกรณ์อื่นๆ: ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของหน้าจอสัมผัสแบบต้านทานคือสามารถใช้งานได้กับนิ้วที่สวมถุงมือ ปากกา Stylus หรือวัตถุใดๆ ก็ตาม เนื่องจากทำงานด้วยแรงกด ไม่ใช่การนำไฟฟ้า ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในโรงงานที่มีคนงานสวมถุงมือ หรือในสถานพยาบาลที่ต้องการความสะอาดและใช้ Stylus
ความแม่นยำ: หน้าจอแบบต้านทานสามารถให้ความแม่นยำในการระบุตำแหน่งการสัมผัสได้สูง (เช่น 4096×4096 หรือสูงกว่า) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งานที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น การป้อนข้อมูลทางการแพทย์ หรือระบบควบคุมที่ซับซ้อน
ต้นทุนต่ำ: โดยทั่วไปแล้ว หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหน้าจอ Capacitive ทำให้เป็นตัวเลือกที่ประหยัดงบประมาณสำหรับอุปกรณ์บางประเภท
รองรับ Multi-touch (บางรุ่น): ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาหน้าจอสัมผัสแบบต้านทานให้รองรับ Multi-touch ได้แล้ว ทำให้มีความสามารถใกล้เคียงกับหน้าจอ Capacitive มากขึ้นในบางด้าน
การใช้งานในปัจจุบัน:
หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานยังคงถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์และอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลาย ได้แก่:
ระบบควบคุมอุตสาหกรรม (Industrial Control Systems): ใช้ในโรงงานผลิต, สายการประกอบ, และแผงควบคุมเครื่องจักร เนื่องจากความทนทานและสามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน
อุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical Devices): เช่น เครื่องติดตามผู้ป่วย, อุปกรณ์วินิจฉัยโรค, และอุปกรณ์ทางการแพทย์แบบพกพา เนื่องจากสามารถใช้กับถุงมือได้และมีความแม่นยำสูง
ระบบ ณ จุดขาย (Point of Sale – POS) และตู้ Kiosk: เช่น ตู้ ATM, เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ, หรือระบบชำระเงินในร้านค้า เนื่องจากความทนทานต่อการใช้งานหนักและความน่าเชื่อถือ
อุปกรณ์เฉพาะทางที่ทนทาน (Rugged Devices): เช่น แท็บเล็ตสำหรับงานภาคสนาม หรืออุปกรณ์ทางทหาร ที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษและใช้งานได้ในสภาพอากาศที่เลวร้าย
ระบบอัตโนมัติภายในบ้าน (Home Automation Systems): ใช้เป็นแผงควบคุมระบบแสง, ระบบรักษาความปลอดภัย, และระบบปรับอากาศ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคบางประเภท: เช่น เครื่องเล่นเกมพกพา หรืออุปกรณ์นำทาง (GPS) รุ่นเก่าบางรุ่น หรือสมาร์ทโฟนราคาประหยัดบางรุ่น
ข้อเสียที่ยังคงมีอยู่ (เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีใหม่ๆ):
ความไวในการสัมผัส: มักต้องการแรงกดมากกว่าหน้าจอ Capacitive ทำให้รู้สึกไม่ “ไหลลื่น” เท่า
ความคมชัดของหน้าจอ: ชั้นฟิล์มที่ซ้อนกันอาจทำให้ความคมชัดและมุมมองของหน้าจอลดลงเล็กน้อย
ความทนทานต่อการสึกหรอ: ชั้นบนที่เป็นพลาสติกอาจสึกหรอหรือเป็นรอยได้ง่ายกว่ากระจกที่ใช้ในหน้าจอ Capacitive โดยเฉพาะในการใช้งานที่บ่อยครั้งและรุนแรง
ไม่รองรับ Multi-touch ในบางรุ่น: แม้จะมีการพัฒนาให้รองรับ Multi-touch ได้แล้วในบางรุ่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงจำกัดการสัมผัสได้เพียงจุดเดียว
แม้หน้าจอสัมผัสแบบต้านทานจะไม่ได้เป็น “เทคโนโลยีสมัยใหม่” ในแง่ของนวัตกรรมล่าสุดสำหรับอุปกรณ์ผู้บริโภคทั่วไป แต่ก็ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นตัวเลือกที่สำคัญและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมและสถานการณ์เฉพาะทางที่ต้องการความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการใช้งานกับถุงมือ