การลดช่องว่างดิจิทัล จำเป็นต้องมีการร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ช่องว่างดิจิทัลหมายถึง ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ส่งผลให้ผู้คนบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบท พื้นที่ห่างไกล
ผู้มีรายได้น้อย ขาดโอกาสในการศึกษา การทำงาน การประกอบธุรกิจและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
เทคโนโลยี 5G และ Wi-Fi 6 มีศักยภาพที่จะช่วยลดช่องว่างดิจิทัลด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อนๆดังนี้:
1. ความเร็วที่รวดเร็ว:
5G รองรับความเร็วสูงสุดถึง 20 Gbps และ Wi-Fi 6 รองรับความเร็วสูงสุดถึง 9.6 Gbps ซึ่งเร็วกว่าเทคโนโลยี 4G และ Wi-Fi 5 หลายเท่า
ความเร็วที่รวดเร็ว ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้รวดเร็ว ดาวน์โหลดไฟล์ สตรีมมิ่งวิดีโอ และเล่นเกมออนไลน์ โดยไม่ต้องรอนาน
2. ความจุที่เพิ่มขึ้น:
5G รองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 1 ล้านเครื่องต่อตารางกิโลเมตร และ Wi-Fi 6 รองรับอุปกรณ์ได้มากกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับ Wi-Fi 5
ความจุที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้ผู้คนในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะสัญญาณอ่อนหรือใช้งานช้า
3. ความหน่วงเวลาที่ต่ำ:
5G มีค่าความหน่วงเวลา (latency) ต่ำกว่า 1 มิลลิวินาที และ Wi-Fi 6 มีค่าความหน่วงเวลาต่ำกว่า 10 มิลลิวินาที
ความหน่วงเวลาที่ต่ำ เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วทันใจ เช่น การประชุมทางวิดีโอ การผ่าตัดทางไกล และการเล่นเกมออนไลน์
4. ประหยัดพลังงาน:
5G และ Wi-Fi 6 ใช้พลังงานน้อยกว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อนๆ ช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างการใช้งาน 5G และ Wi-Fi 6 เพื่อลดช่องว่างดิจิทัล:
การติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
การจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ตให้กับนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส
การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับประชาชนทั่วไป
การพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการออนไลน์ที่เข้าถึงง่าย
การลดช่องว่างดิจิทัล จำเป็นต้องมีการร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนเพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่