One ID ที่เชื่อมโยงข้อมูลชีวมิติเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการบิน การยืนยันตัวตนได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าวิธีการแบบเดิมๆเป็นระบบล้ำสมัยที่ผสานรวมข้อมูลไบโอเมตริกซ์เพื่อปรับปรุงกระบวนการยืนยันตัวตน ทำให้การเข้าถึงบนแพลตฟอร์มต่างๆง่ายขึ้น
แนวคิดของ One ID และการเชื่อมโยงข้อมูลชีวมิติ
แนวคิดหลักของ One ID คือการใช้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัล ซึ่งมักจะผสานรวมกับข้อมูลชีวมิติ เช่น การสแกนใบหน้า หรือลายนิ้วมือ เพื่อให้บุคคลสามารถยืนยันตัวตนได้อย่างรวดเร็วและไร้รอยต่อ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารทางกายภาพซ้ำๆ
IATA One ID (ในอุตสาหกรรมการบิน): เป็นโครงการของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ที่มีเป้าหมายเพื่อทำให้การเดินทางของผู้โดยสารราบรื่นขึ้น โดยให้ผู้โดยสารสามารถแชร์ข้อมูลล่วงหน้าและใช้การยืนยันตัวตนด้วยชีวมิติ ณ จุดต่างๆ ในสนามบิน เช่น การเช็คอิน, การโหลดกระเป๋า, การผ่านด่านตรวจความปลอดภัย, การตรวจคนเข้าเมือง และการขึ้นเครื่องบิน โดยไม่ต้องแสดงหนังสือเดินทางหรือบัตรโดยสารซ้ำๆ ระบบจะเก็บข้อมูลชีวมาตรและข้อมูลการเดินทางในรูปแบบของ “โทเค็น” ซึ่งเชื่อมโยงกับการเดินทางครั้งนั้นๆ
Digital ID ทั่วไป: นอกจากในภาคการบินแล้ว One ID หรือ Digital ID ยังถูกนำมาใช้ในวงกว้างเพื่อการยืนยันตัวตนในบริการดิจิทัลต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ การเข้าถึงบริการภาครัฐ และอื่นๆ โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยและความสะดวกสบาย
ประโยชน์ของ One ID ในการเชื่อมโยงข้อมูลชีวมิติ
ความสะดวกสบายและรวดเร็ว:
ลดขั้นตอนและเวลา: ผู้ใช้งานไม่ต้องแสดงเอกสารซ้ำๆ ลดระยะเวลาในการรอคิวและการดำเนินการ
ประสบการณ์ไร้รอยต่อ: ช่วยให้การเดินทางหรือการทำธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด
ความปลอดภัยและแม่นยำ:
ป้องกันการปลอมแปลง: ข้อมูลชีวมิติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ทำให้ยากต่อการปลอมแปลงหรือสวมรอย
เพิ่มความมั่นคง: ระบบสามารถยืนยันตัวตนได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
ตรวจสอบย้อนหลังได้: ระบบมีบันทึก (Audit Trail/Log) เพื่อความถูกต้องในการตรวจสอบข้อมูล
ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน:
ลดภาระบุคลากร: หน่วยงานหรือผู้ให้บริการสามารถลดภาระในการตรวจสอบเอกสารด้วยตนเอง
บริหารจัดการข้อมูลได้ดีขึ้น: ช่วยให้การจัดการข้อมูลอัตลักษณ์เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
การควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล:
ผู้ใช้งานเป็นเจ้าของข้อมูล: One ID มักถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองได้ โดยยินยอมให้เปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น
ความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลชีวมิติมักถูกใช้แค่เพียงชั่วคราวสำหรับการเดินทางหรือการทำธุรกรรมนั้นๆ และจะไม่ถูกจัดเก็บไว้ระยะยาว (ในกรณีของ IATA One ID ในสนามบินไทย ข้อมูลใบหน้าจะถูกลบเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง)
ความท้าทาย
แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การนำ One ID มาใช้งานก็มีความท้าทายหลายประการ เช่น:
ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว: การจัดเก็บและใช้ข้อมูลชีวมิติขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลหรือการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด
การยอมรับจากสาธารณะ: การสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้เทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งสำคัญ
การทำงานร่วมกันของระบบ : การทำให้ระบบ One ID สามารถทำงานร่วมกับระบบของหน่วยงานและผู้ให้บริการที่หลากหลายได้อย่างราบรื่น
มาตรฐานและความปลอดภัยของข้อมูล: การกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนและมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็น
การนำ One ID มาใช้ในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เริ่มนำเทคโนโลยี One ID และชีวมิติมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 6 สนามบินหลักของ ทอท. (AOT) ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยได้เริ่มใช้งานสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 และจะขยายไปยังผู้โดยสารระหว่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใบหน้าและข้อมูลการเดินทางเพื่อใช้ผ่านจุดต่างๆ ในสนามบินได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยเป็นไปตามมาตรฐานของ IATA One ID
นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้บริการ Digital ID ในประเทศไทยที่มุ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม One ID ที่มีการยืนยันข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เป็น Digital ID/Open ID ที่สามารถนำไปใช้กับบริการหลากหลายในอนาคต
One ID ที่เชื่อมโยงข้อมูลชีวมิติเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงในการปฏิวัติวิธีการยืนยันตัวตน ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในโลกยุคดิจิทัล